วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556

ถอดคำประพันธ์ ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา 5


                       
        ครั้นว่ารุ่งสางสว่างฟ้า                       สุริยาแย้มเยี่ยมเหลี่ยมไศล       
จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงชัย                      เนาในพระที่นั่งบัลลังก์รัตน์
พร้อมด้วยพระกำนัลนักสนม                       หมอบประนมเฝ้าแหนแน่นขนัด
ประจำตั้งเครื่องอานอยู่งานพัด                   ทรงเคืองขัดขุนช้างแต่กลางคืน
 แสนถ่อยใครจะถ่อยเหมือนมันบ้าง                        ทุกอย่างที่จะชั่วอ้ายหัวลื่น
เวียนแต่เป็นถ้อยความไม่ข้ามคืน                 น้ำยืนหยั่งไม่ถึงยังดึงมา
คำศัพท์
เครื่องอาน หมายถึง เครื่องกิน
ถ่อย หมายถึง ชั่ว,เลว
น้ำยืนหยั่งไม่ถึง หมายถึง น้ำลึกเกินกว่าเท้าจะหยั่งถึง
ถอดความได้ว่า
วันรุ่งขึ้นสมเด็จพระพันวษาประทับบนบัลลังก์มีนางกำนัลและสนมหมอบเฝ้าอยู่ ตั้งเครื่องกินและอยู่งานพัดตามหน้าที่ สมเด็จพระพันวษาขัดเคืองขุนช้างตั้งแต่เวลากลางคืน ทรงเห็นว่าขุนช้างเป็นคนชั่วคอยแต่มีคดีความกับผู้อื่น


------------------------------------------------------------------

คราวนั้นฟ้องกันด้วยวันทอง                        นี่มันฟ้องใครอีกอ้ายชาติข้า
ดำริพลางทางเสด็จยาตรา                          ออกมาพระที่นั่งจักรพรรดิ
พระสูตรรูดกร่างกระจ่างองค์                                   ขุนนางกราบลงเป็นขนัด
ทั้งหน้าหลังเบียดเสียดเยียดยัด                   หมอบอัดถัดกันเป็นหลั่นไป
ทอดพระเนตรมาเห็นขุนช้างเฝ้า                   เออใครเอาฟ้องมันไปไว้ไหน
พระหมื่นศรีถวายพลันในทันใด                    รับไว้คลี่ทอดพระเนตรพลัน
คำศัพท์
พระสูตร หมายถึง ม่าน
ถอดความได้ว่า
            คราวก่อนก็ฟ้องร้องเรื่องวันทอง ครั้งนี้ไม่ทรงทราบว่าจะฟ้องใครอีก พระองค์จึงเสด็จออกมาที่พระที่นั่งจักรพรรดิ  เมื่อม่านรูดออกขุนนางก็พร้อมกันกราบลงหมอบเฝ้ากันอยู่มากมายตามลำดับ ทรงทอดพระเนตรเห็นขุนช้างเข้าเฝ้าอยู่จึงตรัสถามขุนนางว่าจะฟ้องใคร หมื่นศรี จึงถวายฎีกาให้ทอดพระเนตร 

 ------------------------------------------------------------------
           
พอทรงจบแจ้งพระทัยในข้อหา               ก็โกรธาเคืองขุ่นหุ่นหัน
มันเคี่ยวเข็ญทำเป็นอย่างไรกัน               อีวันทองคนเดียวไม่รู้แล้ว
ราวกับไม่มีหญิงเฝ้าชิงกัน                     หรืออีวันทองนั้นมันมีแก้ว
รูปอ้ายช้างชั่วช้าตาบ้องแบ๋ว                  ไม่เห็นแววที่ว่ามันจะรัก
ใครจะเอาเป็นผัวเขากลัวอาย                               หัวหูดูเหมือนควายที่ตกปลัก
คราวนั้นเป็นความกูถามซัก                     ตกหนักอยู่กับเฒ่าศรีประจัน
คำศัพท์
โกรธา หมายถึง โกรธ
ปลัก หมายถึง แอ่งที่เป็นโคลนเลน
ถอดความได้ว่า
            พอทอดพระเนตรเสร็จก็กริ้วว่าเรื่องวันทองคนเดียว ทำไมไม่จบกันเสียทีเหมือนกับไม่มีผู้หญิงคนอื่นอีกแล้ว และทรงไม่เห็นว่าวันทองจะมีใจรักขุนช้าง ใครก็ไม่อยากได้ขุนช้างไปเป็นผัว เพราะดูรูปร่างหน้าตาน่าเกลียด

 ------------------------------------------------------------------


วันทองกูสิให้กับไอ้แผน                             ไยแล่นมาอยู่กับอ้ายช้างนั่น
จมื่นศรีไปเอาตัวมันมาพลัน                         ทั้งวันทองขุนแผนอ้ายหมื่นไวย  
ฝ่ายพระหมื่นศรีได้รับสั่ง                              ถอยหลังออกมาไม่ช้าได้
สั่งเวรกรมวังในทันใด                                 ตำรวจในวิ่งตะบึงมาถึงพลัน
ขึ้นไปบนเรือนพระหมื่นไวย                          แจ้งข้อรับสั่งไปขมีขมัน
ขุนช้างฟ้องร้องฎีกาพระทรงธรรม์                ให้หาทั้งสามท่านนั้นเข้าไป
คำศัพท์
ตะบึง หมายถึง รีบเร่ง
ขมีขมัน หมายถึง ทันทีทันใด
พระทรงธรรม์ หมายถึง  พระมหากษัตริย์
ถอดความได้ว่า
            คราวก่อนก็ยกวันทองให้กับขุนแผนไปแล้ว ทำไมจึงมาอยู่กับขุนช้างอีก จึงให้จมื่นศรีไปนำตัววันทอง ขุนแผนและจมื่นไวย   พระหมื่นศรีได้รับคำสั่งให้ถอยหลังออกมาในไม่ช้าและสั่งหารในวังทันทีให้ทหารวิ่งมาอย่างเร่งรีบและขึ้นไปบนเรือนพระหมื่นไวยและแจ้งรับสั่งให้รีบไปในทันที ขุนช้างได้ยืนคำร้องทุกข์ให้พระเจ้าแผ่นดินให้เรียกทั้งสามคนมาเข้าเฝ้า

 ------------------------------------------------------------------


          ครานั้นวันทองเจ้าพลายงาม               ได้ฟังความคร้ามครั่นหวั่นไหว
ขุนแผนเรียกวันทองเข้าห้องใน                      ไม่ไว้ใจจึงเสกด้วยเวทมนตร์
สีขี้ผึ้งสีปากกินหมากเวทย์                            ซึ่งวิเศษสารพัดแก้ขัดสน
น้ำมันพรายน้ำมันจันทน์สรรเสกปน                  เคยคุ้มขังบังตนแต่ไรมา
แล้วทำผงอิทธิเจเข้าเจิมพักตร์                       คนเห็นคนทักรักทุกหน้า
เสกกระแจะจวงจันทร์น้ำมันทา                       เสร็จแล้วก็พาวันทองไป
ถอดความได้ว่า
            ตอนนั้นนางวันทองและพลายงามได้ฟังคำรับสั่งแล้วรู้สึกตื่นเต้น และขุนแผนเรียกนางวันทองเข้าไปข้างในห้อง เพราะไม่ไว้ใจเลยเสกมนตร์ใส่นางวันทอง เอาขี้ผึ้งมาปากและกินหมากที่ลงมนตร์ไว้ มันเป็นของที่ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่าง มีทั้งน้ำมันพรายและน้ำมันจันทน์ที่ใช้พลางตัวมาตลอด แล้วนำผงเสน่ห์มาทาหน้าเพื่อให้คนที่เห็นที่ทักทุกคนต่างหลงรักตนและเสกเครื่องหอมที่ทำด้วยไม้จันทร์ทำให้เป็นน้ำมันพอทำเสร็จแล้วก็พานางวันทองออกไป

                                ------------------------------------------------------------------


     ครานั้นทองประศรีผู้มารดา                   ครั้นได้แจ้งกิจจาไม่นิ่งได้  
เด็กเอ๋ยวิ่งตามมาไวไว                              ลงบันไดงันงกตกนอกกชาน
พลายชุมพลกอดก้นทองประศรี                   กูมิใช่ช้างขี่ดอกลูกหลาน
ลุกขึ้นโขย่งโก้งโค้งคลาน                          ซมซานโฮกฮากอ้าปากไป
ครั้นถึงยั้งอยู่ประตูวัง                                 ผู้รับสั่งเร่งรุดไม่หยุดได้
ขุนแผนวันทองพระหมื่นไวย                        เข้าไปเฝ้าองค์พระภูมี ฯ
ถอดความได้ว่า
            เมื่อแม่ของนางวันทองได้รู้ข่าวก็ร้อนใจ รีบเรียกลูกหลานให้วิ่งตามมาให้รีบลงจากบันไดจนตกออกนอกชาน พลายชุมพลก็เข้ากอดก้นนางทองประศรี นางทองประศรีจึงตะโกนบอกว่าพลายชุมพลว่าตนไม่ใช่ช้าง แล้วก็ลุกขึ้น เมื่อถึงหน้าประตูวัง ทั้งสามคนจึงรีบเข้าไปเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์


 ------------------------------------------------------------------


     ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช                     ปิ่นปักนคเรศเรืองศรี
เห็นสามราเข้ามาอัญชลี                           พระปรานีเหมือนลูกในอุทร
ด้วยเดชะพระเวทวิเศษประสิทธิ์                 เผอิญคิดรักใคร่พระทัยอ่อน
ตรัสถามอย่างความราษฎร                        ฮ้าเฮ้ยดูก่อนอีวันทอง
เมื่อมึงกลับมาแต่ป่าใหญ่                          กูสิให้อ้ายแผนประสมสอง
ครั้นกูขัดใจให้จำจอง                               ตัวของมึงไปอยู่แห่งไร 
ถอดความได้ว่า
            เมื่อพระพันวสาเห็นทั้งสามคน(ขุนช้าง พระไวย และนางวันทอง)เดินเข้ามาก็เกิดความเอ็นดูอย่างลูก จึงตรัสถามความว่าเมื่อกลับมาจากป่าที่ตัดสินให้ไปอยู่กับขุนแผนเป็นอย่างไร

                            ------------------------------------------------------------------
  
ทำไมไม่อยู่กับอ้ายแผน                                        แล่นไปอยู่กับอ้ายช้างใหม่
เดิมมึงรักอ้ายแผนแล่นตามไป                ครั้นยกให้เต้นกลับเล่นตัว
อยู่กับอ้ายช้างไม่อยู่ได้                         เกิดรังเกียจเกลียดใจด้วยชังหัว
ดูยักใหม่ย้ายเก่าเฝ้าเปลี่ยนตัว                ตกว่าชั่วแล้วมึงไม่ไยดี ฯ
      ครานั้นวันทองได้รับสั่ง                    ละล้าละลังประนมก้มเกศี 
หัวสยองพองพรั่นทันที                         ทูลคดีพระองค์ผู้ทรงธรรม์
ถอดความได้ว่า
ให้ไปอยู่กับขุนแผนทำไมถึงไม่ไปอยู่ แต่กลับไปอยู่กับขุนช้าง ทั้งๆที่แต่ก่อนรักกับขุนแผนไม่ใช่เหรอพอจะยกให้ไปอยู่กับขุนช้าง ก็รังเกียจขุนช้างขึ้นมา เปลี่ยนไปเปลี่ยนมามันไม่ดี  เมื่อนางวันทองได้รับสั่ง ก็รู้สึกละล้าละลังจึงประนมมือไหว้เหนือหัว นางรู้สึกกลัวมาก

 ------------------------------------------------------------------ 

ขอเดชะละอองธุลีพระบาท                     องค์หริรักษ์ราชรังสรรค์
เมื่อกระหม่อมฉันมาแต่อรัญ                    ครั้งนั้นโปรดประทานขุนแผนไป
ครั้นอยู่มาขุนแผนต้องจำจอง                   กระหม่อมฉันมีท้องนั้นเติบใหญ่
อยู่ที่เคหาหน้าวัดตะไกร                         ขุนช้างไปบอกว่าพระโองการ
มีรับสั่งโปรดประทานให้                          กระหม่อมฉันไม่ไปก็หักหาญ
ยื้อยุดแดคร่าทำสามานย์                         เพื่อนบ้านจะช่วยก็สุดคิด
ถอดความได้ว่า
            นางวันทองทูลขอพระพันวษาว่า เมื่อตอนที่ออกจากป่าพระองค์ยกหม่อมฉันให้ขุนแผน ต่อมาขุนแผนถูกเข้าคุก ดิฉันได้ตั้งทอง ขุนช้างก็เข้ามากระหม่อมไปอยู่ด้วยโดยอ้างว่าเป็นพระบัญชาของพระองค์ มาฉุดกระหม่อมไปเพื่อนบ้านก็เกรงกลัวเพราะคิดว่าเป็นพระบัญชาของพระองค์

                             ------------------------------------------------------------------ 


ด้วยขุนช้างอ้างว่ารับสั่งให้                      ใครจะขัดขืนไว้ก็กลัวผิด
จนใจมิไปก็สุดฤทธิ์                               ชีวิตอยู่ใต้พระบาทา ฯ
        ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ                 ฟังจบกริ้วขุนช้างเป็นหนักหนา 
มีพระสิงหนาทตวาดมา                           อ้ายบ้าเย่อหยิ่งอ้ายลิงโลน
ตกว่ากูหาเป็นเจ้าชีวิตไม่                         มึงถือใจว่าเป็นเจ้าที่โรงโขน
เป็นไม่มีอาชญาสิทธิ์คิดถึงโดน                 เที่ยวทำโจรใจคะนองจองหองครัน
ถอดความได้ว่า
พระพันวษาได้ฟังขุนช้างทูลก็ทรงกริ้ว ตวาดเสียงดังลั่น ว่าถ้าพระองค์ไม่เป็นกษัตริย์ ขุนช้างก็คงมองไม่เห็นหัว จะต้องเฆี่ยนเสียด้วยหวาย

               ------------------------------------------------------------------


เลี้ยงมึงไม่ได้อ้ายใจร้าย                              ชอบแต่เฆี่ยนสองหวายตลอดสัน
แล้วกลับความถามข้างวันทองพลัน                เออเมื่อมันฉุดคร่าพามึงไป
ก็ช้านานประมาณได้สิบแปดปี                       ครั้งนี้ทำไมมึงจึงมาได้
นี่มึงหนีมันมาหรือว่าไร                                หรือว่าใครไปรับเอามึงมา
วันทองฟังถามให้คร้ามครั่น                           บังคมคัลประนมก้มเกศา
ขอเดชะพระองค์ทรงศักดา                            พระอาญาเป็นพ้นล้นเกล้าไป
ถอดความได้ว่า
            พระพันวษาก็ตรัสถามนางวันทองว่า เมื่อขุนช้างฉุดไปเป็นเวลาประมาณ 18 ปีทำไมถึงหนีมาได้ หนีมาเองหรือว่าใครไปรับมา นางวันทองได้ฟังคำถามก็รู้สึกกลัว

                             ------------------------------------------------------------------


ครั้งนี้จมื่นไวยนั้นไปรับ                        กระหม่อมฉันจึงกลับคืนมาได้
มิใช่ย้อนยอกทำนอกใจ                      ขุนแผนก็มิได้ประเวณี
แต่มานั้นเวลาสักสองยาม                    ขุนช้างจึงหาความว่าหลบหนี
ขอพระองค์จงทรงพระปรานี                 ชีวีอยู่ใต้พระบาทา ฯ
ถอดความได้ว่า
นางวันทองกราบทูลสมเด็จพระพันวษาว่าจมื่นไวยไปรับตอนกลางคืน ขุนช้างจึงคิดว่าหนีออกมา ขุนแผนก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีไม่งาม นางทูลขอความกรุณาจากสมเด็จพระพันวษา

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
***********
           ถอดคำประพันธ์โดยเด็ก 6/7 นบ. รุ่น81















6 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณมากครับ เป็นความรู้ให้กระผมเป็นอย่างมาก ขอบคุณจริงๆครับ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณมากๆๆเลยนะคะ พี่ทำให้หนูไม่โดนครูตี ถ้าพี่ไม่มาแปลให้นี่หนูจะไปเอาปัญญาไหนแปลให้ครูฟัง ขอบคุณที่พี่เกิดมาค่ะ

    ตอบลบ
  3. ทองประศรี แม่ขุนแผนไม่ใช่หรอคะ? ไม่ใช่แม่ของนางวันทอง

    ตอบลบ