วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556

ถอดคำประพันธ์ ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา 6


          ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช             ฟังเหตุขุ่นเคืองเป็นหนักหนา
อ้ายหมื่นไวยทำใจอหังการ์                      ตกว่าบ้านเมืองไม่มีนาย
จะปรึกษาตราสินให้ไม่ได้                       จึงทำตามน้ำใจเอาง่ายง่าย
ถ้าฉวยเกิดห่าฟันกันล้มตาย                    อันตรายไพร่เมืองก็เคืองกู
อีวันทองกูให้อ้ายแผนไป                        อ้ายช้างบังอาจใจทำจู่ลู่
ฉุดมันขึ้นช้างอ้างถึงกู                             ตะคอกขู่อีวันทองให้ตกใจ
คำศัพท์
ตกว่า  หมายถึง  ราวกับว่า
ตราสิน  หมายถึง  แจ้งความไว้เพื่อเป็นหลักฐาน
จู่ลู่  หมายถึง  หุนหันพลันแล่น ในความว่า “อ้ายช้างบังอาจใจทำจู่ลู่”
ถอดความได้ว่า
            เมื่อพระพันวษาได้ฟังความจากนางวันทอง ก็โกรธจมื่นไวยที่ทำการอุกอาจทำเหมือนบ้านเมืองไม่มีกฎหมาย   ถ้าเกิดมีการฆ่าฟันล้มตาย ประชาชนจะขุ่นเคืองพระพันวษาได้  ทางด้านขุนช้างก็ผิดที่ไปฉุดตัวนางวันทองมา  แล้วยังอ้างชื่อพระพันวษาไปข่มขู่พาตัวนางวันทองมา 

 ------------------------------------------------------------------------------- 

ชอบตบให้สลบลงกับที่                               เฆี่ยนตีเสียให้ยับไม่นับได้
มะพร้าวห้าวยัดปากให้สาใจ                      อ้ายหมื่นไวยก็โทษถึงฉกรรจ์
มึงถือว่าอีวันทองเป็นแม่ตัว                       ไม่เกรงกลัวเว้โว้ทำโมหันธ์
ไปรับไยไม่ไปในกลางวัน                          อ้ายแผนพ่อนั้นก็เป็นใจ
มันเหมือนวัวเคยขาม้าเคยขี่                     ถึงบอกกูว่าดีหาเชื่อไม่
อ้ายช้างมันก็ฟ้องเป็นสองนัย                    ว่าอ้ายไวยลักแม่ให้บิดา
คำศัพท์
วัวเคยขาม้าเคยขี่  หมายถึง คุ้นเคยกันมาอย่างดี รู้ทีกัน เข้าใจในทำนองของกันและกัน สำนวนนี้ส่วนมากใช้กับคนที่เคยเป็นสามี ภรรยากัน
ถอดความได้ว่า
เฆี่ยนตีขุนช้างให้สลบคาที่ แล้วเอามะพร้าวห้าวยัดปาก จมื่นไวยก็มีความผิดฉกรรจ์ที่ไปพาตัวนางวันทองมากลางดึก  คงจะมีขุนแผนผู้เป็นพ่อคอยหนุนหลัง  เพราะว่าขุนช้างเอาเรื่องมาบอกพระพันวษาว่า จมื่นไวยฉุดนางวันทองกลับไปให้พ่อถือว่าเป็นความผิด

 -------------------------------------------------------------------------------
  

เป็นราคีข้อผิดมีติดตัว                                   หมองมัวมลทินอยู่หนักหนา
ถ้าอ้ายไวยอยากจะใคร่ได้แม่มา                  ชวนพ่อฟ้องหาเอาเป็นไร
อัยการศาลโรงก็มีอยู่                                     หรือว่ากูตัดสินให้ไม่ได้
ชอบทวนด้วยลวดให้ปวดไป                     ปรับไหมให้เท่ากับชายชู้
มันเกิดเหตุทั้งนี้ก็เพราะหญิง                      จึงหึงหวงช่วงชิงยุ่งยิ่งอยู่
จำจะตัดรากใหญ่ให้หล่นพรู                       ให้ลูกดอกดกอยู่แต่กิ่งเดียว
คำศัพท์
ทวนด้วยลวด  หมายถึง เฆี่ยนตีด้วยหนังที่ทำเป็นเส้นยาวๆซึ่งเรียกว่าลวดหนัง
ถอดความได้ว่า
ถ้าจมื่นไวยอยากได้ตัวแม่  ทำไมไม่พาพ่อมาฟ้องศาล  หรือคิดว่าพระพันวษาไม่สามารถตัดสินให้ได้ ต้องลงโทษด้วยลวดและปรับ  ส่วนขุนช้างก็บังอาจอ้างราชโองการ ควรตบให้สลบ แล้วเอามะพร้าวยัดปาก แล้วรับสั่งว่าจะต้องแก้ปัญหานี้ให้จบเสียที ต้องตัดรากใหญ่(ปัญหา) ให้เหลือลูกดอกกิ่งเดียว (ให้นางวันทองตัดสินใจเลือกเพียงหนึ่ง)

 ------------------------------------------------------------------------------- 



อีวันทองตัวมันเหมือนรากแก้ว                         ถ้าตัดโคนขาดแล้วก็ใบเหี่ยว
ใครจะควรสู่สมอยู่กลมเกลียว                           ให้เด็ดเดี่ยวรู้กันแต่วันนี้
เฮ้ยอีวันทองว่ากระไร                                         มึงตั้งใจปลดปลงให้ตรงที่
อย่าภวังค์กังขาเป็นราคี                                      เพราะมึงมีผัวสองกูต้องแค้น
ถ้ารักใหม่ก็ไปอยู่กับอ้ายช้าง                             ถ้ารักเก่าเข้าข้างอ้ายขุนแผน
อย่าเวียนวนไปให้คนมันหมิ่นแคลน                ถ้าแม้นมึงรักไหนให้ว่ามา
คำศัพท์
รากใหญ่  หมายถึง นางวันทอง
ถอดความได้ว่า
            นางวันทองเหมือนกับรากแก้วถ้าตัดโคนได้แล้วใบก็จะเหี่ยวไปเอง พระพันวษาตรัสว่านางวันทองจะตกลงยังไง อย่าลังเลเพราะมีทั้งผัวและลูก ถ้ารักใหม่ก็ให้ไปอยู่กับขุนช้าง แต่ถ้ารักก็เลือกขุนแผน อย่าชักช้าคนจะนินทาเอาได้ จะเลือกใครก็ว่ามา

  -------------------------------------------------------------------------------


 ครานั้นวันทองฟังรับสั่ง                                        ให้ละล้าละลังเป็นหนักหนา
ครั้นจะทูลกลัวพระราชอาญา                                ขุนช้างแลดูตายักคิ้วลน
พระหมื่นไวยใช้ใบ้ให้แม่ว่า                                  บุ้ยปากตรงบิดาเป็นหลายหน
วันทองหมองจิตคิดเวียนวน                                  เป็นจนใจนิ่งอยู่ไม่ทูลไป
        ครานั้นพระองค์ทรงธรณินทร์                      หาได้ยินวันทองทูลขึ้นไม่
พระตรัสความถามซักไปทันใด                            หรือมึงไม่รักใครให้ว่ามา
ถอดความได้ว่า
นางวันทองได้ฟังคำพระพันวษาก็เกิดลังเลว่าจะเลือกใคร มองไปทางขุนช้างก็ยักคิ้ว มองไปทาง
จมื่นไวยก็ทำปากบุ้ยไปตรงพ่อ วันทองคิดวนไปวนมา ก็ยังไม่ทูลอะไรแก่พระพันวษา พระพันวษาไม่เห็นว่านางวันทองทูลอะไร ทรงตรัสถามต่อว่าจะไม่รักใครให้ว่ามา

 ------------------------------------------------------------------------------- 



จะรักชู้ชังผัวมึงกลัวอาย                                          จะอยู่ด้วยลูกชายก็ไม่ว่า
ตามใจกูจะให้ดังวาจา                                              แต่นี้เบื้องหน้าขาดเด็ดไป
            นางวันทองรับพระราชโองการ               ให้บันดาลบังจิตหาคิดไม่
อกุศลดลมัวให้ชั่วใจ                                                ด้วยสิ้นในอายุที่เกิดมา
คิดคะนึงตะลึงตะลานอก                                        ดังตัวตกพระสุเมรุภูผา
ให้อุธัจอัดอั้นตันอุรา                                                เกรงผิดภายหน้าก็สุดคิด
ถอดความได้ว่า
จะไปอยู่กับลูกไหม ตามแต่ใจ แต่ถ้าตอบมาแล้วจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้  นางวันทองรับพระราชโองการดังนั้นก็คิดไม่ออก ถึงเวลาสิ้นอายุ จึงเกิด “อกุศล” ทำให้ประหม่าและเกรงว่าจะตัดสินใจผิด

  -------------------------------------------------------------------------------


จะว่ารักขุนช้างกระไรได้                                      ที่จริงใจมิได้รักแต่สักหนิด
รักพ่อลูกห่วงดังดวงชีวิต                                       แม้นทูลผิดจะพิโรธไม่โปรดปราน
อย่าเลยจะทูลเป็นกลางไว้                                      ตามพระทัยท้าวจะแยกให้แตกฉาน
คิดแล้วเท่านั้นมิทันนาน                                       นางก้มกรานแล้วก็ทูลไปฉับพลัน
ความรักขุนแผนก็แสนรัก                                     ด้วยร่วมยากมานักไม่เดียดฉันท์
สู้ลำบากบุกป่ามาด้วยกัน                                       สารพันอดออมถนอมใจ
ถอดความได้ว่า
จะว่ารักขุนช้างก็ไม่ได้เพราะตนไม่ได้รัก ถ้าเกิดทูลพระพันวษาผิดก็จะเป็นทูล จึงทูลเป็นกลางๆตามแต่พระทัยของพระพันวษาว่าจะตัดสินใจอย่างไร จึงทูลออกไปว่าขุนแผนนั้นก็แสนรักร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมานาน

 ------------------------------------------------------------------------------- 


ขุนช้างแต่อยู่ด้วยกันมา                                         คำหนักหาได้ว่าให้เคืองไม่
เงินทองกองไว้มิให้ใคร                                        ข้าไทใช้สอยเหมือนของตัว
จมื่นไวยเล่าก็เลือดที่ในอก                                   ก็หยิบยกรักเท่ากันกับผัว
ทูลพลางตัวนางเริ่มระรัว                                      ความกลัวอาญาเป็นพ้นไป
                ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ                     ฟังจบแค้นคลั่งดังเพลิงไหม้
เหมือนดินประสิวปลิวติดกับเปลวไฟ                  ดูดู๋เป็นได้อีวันทอง
ถอดความได้ว่า
ขุนช้างอยู่ด้วยกันมาก็ไม่เคยทำเรื่องให้ขุ่นเคืองใจและมีเงินทองบ่าวไพร่ใช้ไม่ขัดสน ส่วนจมื่นไวยที่เป็นลูกชายก็เป็นเหมือนเลือดในอก ย่อมรักเท่ากับรักผัวอยู่แล้ว ทูลเสร็จนางวันทองก็สั่นด้วยความกลัว
หลังจากนางวันทองทูล พระพันวษากริ้วอย่างมากเหมือนดินประสิวที่โดนไฟแล้วปะทุ

 ------------------------------------------------------------------------------- 


จะว่ารักข้างไหนไม่ว่าได้                                        น้ำใจจะประดังเข้าทั้งสอง
ออกนั่นเข้านี่มีสำรอง                                             ยิ่งกว่าท้องทะเลอันล้ำลึก
จอกแหนแพเสาสำเภาใหญ่                                   จะทอดถมเท่าไรไม่รู้สึก
เหมือนมหาสมุทรสุดซึ้งซึก                                   น้ำลึกเหลือจะหยั่งกระทั่งดิน
อิฐผาหาหาบมาทุ่มถม                                            ก็จ่อมจมสูญหายไปหมดสิ้น
อีแสนถ่อยจัญไรใจทมิฬ                                        ดังเพชรนิลเกิดขึ้นในอาจม
ถอดความได้ว่า
นางวันทองไม่ยอมบอกว่าจะเลือกใคร พระพันวษารับสั่งด่านางวันทองว่ารักข้างไหนเลือกไม่ถูกจะเอาไว้สำรองทั้งสองยิ่งว่าความลึกของทะเลทอดสมอลึกเกินจะหยั่งถึงได้ คนถ่อย จัญไร ใจทมิฬ เหมือนเพชรที่เกิดในสิ่งสกปรก


  -------------------------------------------------------------------------------

รูปงามนามเพราะน้อยไปหรือ                               ใจไม่ซื่อสมศักดิ์เท่าเส้นผม
แต่ใจสัตว์มันยังมีที่นิยม                                          สมาคมก็แต่ถึงฤดูมัน
มึงนี่ถ่อยยิ่งกว่าถ่อยอีท้ายเมือง                               จะเอาเรื่องไม่ได้สักสิ่งสรรพ์
ละโมบมากตัณหาตาเป็นมัน                                  สักร้อยพันให้มึงไม่ถึงใจ
ว่าหญิงชั่วผัวยังคราวละคนเดียว                           หาตามตอมกันเกรียวเหมือนมึงไม่
หนักแผ่นดินกูจะอยู่ไย                                           อ้ายไวยมึงอย่านับว่ามารดา
ถอดความได้ว่า
หน้าตาสวยงามชื่อเพราะน้อยไปหรือถึงได้จิตใจไม่ซื่อเท่ากับเส้นผม เลวกว่าสัตว์เพราะสัตว์ยังมีฤดูผสมพันธุ์  หญิงชั่วยังมีผัวคราวละคน จะอยู่ให้หนักแผ่นดินทำไม ทรงหันไปตรัสกับจมื่นไวยว่าอย่านับนางวันทองเป็นแม่ให้อายเขา

  -------------------------------------------------------------------------------


กูเลี้ยงมึงถึงให้เป็นหัวหมื่น                                   คนอื่นรู้ว่าแม่ก็ขายหน้า
อ้ายขุนช้างขุนแผนทั้งสองรา                                 กูจะหาเมียให้อย่าอาลัย
หญิงกาลกิณีอีแพศยา                                            มันไม่น่าเชยชิดพิสมัย
ที่รูปรวยสวยสมมีถมไป                                        มึงตัดใจเสียเถิดอีคนนี้
เร่งเร็วเหวยพระยายมราช                                      ไปฟันฟาดเสียให้มันเป็นผี
อกเอาขวานผ่าอย่าปรานี                                        อย่าให้มีโลหิตติดดินกู
เอาใบตองรองไว้ให้หมากิน                                   ตกดินจะอัปรีย์กาลีอยู่
ฟันให้หญิงชายทั้งหลายดู                                      สั่งเสร็จเสด็จสู่ปราสาทชัย
ถอดความได้ว่า
รับสั่งขุนช้างกับขุนแผนพระองค์จะทรงหาเมียใหม่ให้ แล้วรับสั่งให้เอานางวันทองไปประหารชีวิต เอาขวานผ่าอก แล้วเอาใบตองมารองเลือดให้หมากิน อย่าให้เลือดอัปรีย์กาลีตกถึงพื้นดินเลย รับสั่งเสร็จก็เสด็จเข้าสู่ปราสาทที่ประทับ

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
***********
           ถอดคำประพันธ์โดยเด็ก 6/7 นบ. รุ่น81





ถอดคำประพันธ์ ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฎีกา 5


                       
        ครั้นว่ารุ่งสางสว่างฟ้า                       สุริยาแย้มเยี่ยมเหลี่ยมไศล       
จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงชัย                      เนาในพระที่นั่งบัลลังก์รัตน์
พร้อมด้วยพระกำนัลนักสนม                       หมอบประนมเฝ้าแหนแน่นขนัด
ประจำตั้งเครื่องอานอยู่งานพัด                   ทรงเคืองขัดขุนช้างแต่กลางคืน
 แสนถ่อยใครจะถ่อยเหมือนมันบ้าง                        ทุกอย่างที่จะชั่วอ้ายหัวลื่น
เวียนแต่เป็นถ้อยความไม่ข้ามคืน                 น้ำยืนหยั่งไม่ถึงยังดึงมา
คำศัพท์
เครื่องอาน หมายถึง เครื่องกิน
ถ่อย หมายถึง ชั่ว,เลว
น้ำยืนหยั่งไม่ถึง หมายถึง น้ำลึกเกินกว่าเท้าจะหยั่งถึง
ถอดความได้ว่า
วันรุ่งขึ้นสมเด็จพระพันวษาประทับบนบัลลังก์มีนางกำนัลและสนมหมอบเฝ้าอยู่ ตั้งเครื่องกินและอยู่งานพัดตามหน้าที่ สมเด็จพระพันวษาขัดเคืองขุนช้างตั้งแต่เวลากลางคืน ทรงเห็นว่าขุนช้างเป็นคนชั่วคอยแต่มีคดีความกับผู้อื่น


------------------------------------------------------------------

คราวนั้นฟ้องกันด้วยวันทอง                        นี่มันฟ้องใครอีกอ้ายชาติข้า
ดำริพลางทางเสด็จยาตรา                          ออกมาพระที่นั่งจักรพรรดิ
พระสูตรรูดกร่างกระจ่างองค์                                   ขุนนางกราบลงเป็นขนัด
ทั้งหน้าหลังเบียดเสียดเยียดยัด                   หมอบอัดถัดกันเป็นหลั่นไป
ทอดพระเนตรมาเห็นขุนช้างเฝ้า                   เออใครเอาฟ้องมันไปไว้ไหน
พระหมื่นศรีถวายพลันในทันใด                    รับไว้คลี่ทอดพระเนตรพลัน
คำศัพท์
พระสูตร หมายถึง ม่าน
ถอดความได้ว่า
            คราวก่อนก็ฟ้องร้องเรื่องวันทอง ครั้งนี้ไม่ทรงทราบว่าจะฟ้องใครอีก พระองค์จึงเสด็จออกมาที่พระที่นั่งจักรพรรดิ  เมื่อม่านรูดออกขุนนางก็พร้อมกันกราบลงหมอบเฝ้ากันอยู่มากมายตามลำดับ ทรงทอดพระเนตรเห็นขุนช้างเข้าเฝ้าอยู่จึงตรัสถามขุนนางว่าจะฟ้องใคร หมื่นศรี จึงถวายฎีกาให้ทอดพระเนตร 

 ------------------------------------------------------------------
           
พอทรงจบแจ้งพระทัยในข้อหา               ก็โกรธาเคืองขุ่นหุ่นหัน
มันเคี่ยวเข็ญทำเป็นอย่างไรกัน               อีวันทองคนเดียวไม่รู้แล้ว
ราวกับไม่มีหญิงเฝ้าชิงกัน                     หรืออีวันทองนั้นมันมีแก้ว
รูปอ้ายช้างชั่วช้าตาบ้องแบ๋ว                  ไม่เห็นแววที่ว่ามันจะรัก
ใครจะเอาเป็นผัวเขากลัวอาย                               หัวหูดูเหมือนควายที่ตกปลัก
คราวนั้นเป็นความกูถามซัก                     ตกหนักอยู่กับเฒ่าศรีประจัน
คำศัพท์
โกรธา หมายถึง โกรธ
ปลัก หมายถึง แอ่งที่เป็นโคลนเลน
ถอดความได้ว่า
            พอทอดพระเนตรเสร็จก็กริ้วว่าเรื่องวันทองคนเดียว ทำไมไม่จบกันเสียทีเหมือนกับไม่มีผู้หญิงคนอื่นอีกแล้ว และทรงไม่เห็นว่าวันทองจะมีใจรักขุนช้าง ใครก็ไม่อยากได้ขุนช้างไปเป็นผัว เพราะดูรูปร่างหน้าตาน่าเกลียด

 ------------------------------------------------------------------


วันทองกูสิให้กับไอ้แผน                             ไยแล่นมาอยู่กับอ้ายช้างนั่น
จมื่นศรีไปเอาตัวมันมาพลัน                         ทั้งวันทองขุนแผนอ้ายหมื่นไวย  
ฝ่ายพระหมื่นศรีได้รับสั่ง                              ถอยหลังออกมาไม่ช้าได้
สั่งเวรกรมวังในทันใด                                 ตำรวจในวิ่งตะบึงมาถึงพลัน
ขึ้นไปบนเรือนพระหมื่นไวย                          แจ้งข้อรับสั่งไปขมีขมัน
ขุนช้างฟ้องร้องฎีกาพระทรงธรรม์                ให้หาทั้งสามท่านนั้นเข้าไป
คำศัพท์
ตะบึง หมายถึง รีบเร่ง
ขมีขมัน หมายถึง ทันทีทันใด
พระทรงธรรม์ หมายถึง  พระมหากษัตริย์
ถอดความได้ว่า
            คราวก่อนก็ยกวันทองให้กับขุนแผนไปแล้ว ทำไมจึงมาอยู่กับขุนช้างอีก จึงให้จมื่นศรีไปนำตัววันทอง ขุนแผนและจมื่นไวย   พระหมื่นศรีได้รับคำสั่งให้ถอยหลังออกมาในไม่ช้าและสั่งหารในวังทันทีให้ทหารวิ่งมาอย่างเร่งรีบและขึ้นไปบนเรือนพระหมื่นไวยและแจ้งรับสั่งให้รีบไปในทันที ขุนช้างได้ยืนคำร้องทุกข์ให้พระเจ้าแผ่นดินให้เรียกทั้งสามคนมาเข้าเฝ้า

 ------------------------------------------------------------------


          ครานั้นวันทองเจ้าพลายงาม               ได้ฟังความคร้ามครั่นหวั่นไหว
ขุนแผนเรียกวันทองเข้าห้องใน                      ไม่ไว้ใจจึงเสกด้วยเวทมนตร์
สีขี้ผึ้งสีปากกินหมากเวทย์                            ซึ่งวิเศษสารพัดแก้ขัดสน
น้ำมันพรายน้ำมันจันทน์สรรเสกปน                  เคยคุ้มขังบังตนแต่ไรมา
แล้วทำผงอิทธิเจเข้าเจิมพักตร์                       คนเห็นคนทักรักทุกหน้า
เสกกระแจะจวงจันทร์น้ำมันทา                       เสร็จแล้วก็พาวันทองไป
ถอดความได้ว่า
            ตอนนั้นนางวันทองและพลายงามได้ฟังคำรับสั่งแล้วรู้สึกตื่นเต้น และขุนแผนเรียกนางวันทองเข้าไปข้างในห้อง เพราะไม่ไว้ใจเลยเสกมนตร์ใส่นางวันทอง เอาขี้ผึ้งมาปากและกินหมากที่ลงมนตร์ไว้ มันเป็นของที่ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่าง มีทั้งน้ำมันพรายและน้ำมันจันทน์ที่ใช้พลางตัวมาตลอด แล้วนำผงเสน่ห์มาทาหน้าเพื่อให้คนที่เห็นที่ทักทุกคนต่างหลงรักตนและเสกเครื่องหอมที่ทำด้วยไม้จันทร์ทำให้เป็นน้ำมันพอทำเสร็จแล้วก็พานางวันทองออกไป

                                ------------------------------------------------------------------


     ครานั้นทองประศรีผู้มารดา                   ครั้นได้แจ้งกิจจาไม่นิ่งได้  
เด็กเอ๋ยวิ่งตามมาไวไว                              ลงบันไดงันงกตกนอกกชาน
พลายชุมพลกอดก้นทองประศรี                   กูมิใช่ช้างขี่ดอกลูกหลาน
ลุกขึ้นโขย่งโก้งโค้งคลาน                          ซมซานโฮกฮากอ้าปากไป
ครั้นถึงยั้งอยู่ประตูวัง                                 ผู้รับสั่งเร่งรุดไม่หยุดได้
ขุนแผนวันทองพระหมื่นไวย                        เข้าไปเฝ้าองค์พระภูมี ฯ
ถอดความได้ว่า
            เมื่อแม่ของนางวันทองได้รู้ข่าวก็ร้อนใจ รีบเรียกลูกหลานให้วิ่งตามมาให้รีบลงจากบันไดจนตกออกนอกชาน พลายชุมพลก็เข้ากอดก้นนางทองประศรี นางทองประศรีจึงตะโกนบอกว่าพลายชุมพลว่าตนไม่ใช่ช้าง แล้วก็ลุกขึ้น เมื่อถึงหน้าประตูวัง ทั้งสามคนจึงรีบเข้าไปเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์


 ------------------------------------------------------------------


     ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช                     ปิ่นปักนคเรศเรืองศรี
เห็นสามราเข้ามาอัญชลี                           พระปรานีเหมือนลูกในอุทร
ด้วยเดชะพระเวทวิเศษประสิทธิ์                 เผอิญคิดรักใคร่พระทัยอ่อน
ตรัสถามอย่างความราษฎร                        ฮ้าเฮ้ยดูก่อนอีวันทอง
เมื่อมึงกลับมาแต่ป่าใหญ่                          กูสิให้อ้ายแผนประสมสอง
ครั้นกูขัดใจให้จำจอง                               ตัวของมึงไปอยู่แห่งไร 
ถอดความได้ว่า
            เมื่อพระพันวสาเห็นทั้งสามคน(ขุนช้าง พระไวย และนางวันทอง)เดินเข้ามาก็เกิดความเอ็นดูอย่างลูก จึงตรัสถามความว่าเมื่อกลับมาจากป่าที่ตัดสินให้ไปอยู่กับขุนแผนเป็นอย่างไร

                            ------------------------------------------------------------------
  
ทำไมไม่อยู่กับอ้ายแผน                                        แล่นไปอยู่กับอ้ายช้างใหม่
เดิมมึงรักอ้ายแผนแล่นตามไป                ครั้นยกให้เต้นกลับเล่นตัว
อยู่กับอ้ายช้างไม่อยู่ได้                         เกิดรังเกียจเกลียดใจด้วยชังหัว
ดูยักใหม่ย้ายเก่าเฝ้าเปลี่ยนตัว                ตกว่าชั่วแล้วมึงไม่ไยดี ฯ
      ครานั้นวันทองได้รับสั่ง                    ละล้าละลังประนมก้มเกศี 
หัวสยองพองพรั่นทันที                         ทูลคดีพระองค์ผู้ทรงธรรม์
ถอดความได้ว่า
ให้ไปอยู่กับขุนแผนทำไมถึงไม่ไปอยู่ แต่กลับไปอยู่กับขุนช้าง ทั้งๆที่แต่ก่อนรักกับขุนแผนไม่ใช่เหรอพอจะยกให้ไปอยู่กับขุนช้าง ก็รังเกียจขุนช้างขึ้นมา เปลี่ยนไปเปลี่ยนมามันไม่ดี  เมื่อนางวันทองได้รับสั่ง ก็รู้สึกละล้าละลังจึงประนมมือไหว้เหนือหัว นางรู้สึกกลัวมาก

 ------------------------------------------------------------------ 

ขอเดชะละอองธุลีพระบาท                     องค์หริรักษ์ราชรังสรรค์
เมื่อกระหม่อมฉันมาแต่อรัญ                    ครั้งนั้นโปรดประทานขุนแผนไป
ครั้นอยู่มาขุนแผนต้องจำจอง                   กระหม่อมฉันมีท้องนั้นเติบใหญ่
อยู่ที่เคหาหน้าวัดตะไกร                         ขุนช้างไปบอกว่าพระโองการ
มีรับสั่งโปรดประทานให้                          กระหม่อมฉันไม่ไปก็หักหาญ
ยื้อยุดแดคร่าทำสามานย์                         เพื่อนบ้านจะช่วยก็สุดคิด
ถอดความได้ว่า
            นางวันทองทูลขอพระพันวษาว่า เมื่อตอนที่ออกจากป่าพระองค์ยกหม่อมฉันให้ขุนแผน ต่อมาขุนแผนถูกเข้าคุก ดิฉันได้ตั้งทอง ขุนช้างก็เข้ามากระหม่อมไปอยู่ด้วยโดยอ้างว่าเป็นพระบัญชาของพระองค์ มาฉุดกระหม่อมไปเพื่อนบ้านก็เกรงกลัวเพราะคิดว่าเป็นพระบัญชาของพระองค์

                             ------------------------------------------------------------------ 


ด้วยขุนช้างอ้างว่ารับสั่งให้                      ใครจะขัดขืนไว้ก็กลัวผิด
จนใจมิไปก็สุดฤทธิ์                               ชีวิตอยู่ใต้พระบาทา ฯ
        ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ                 ฟังจบกริ้วขุนช้างเป็นหนักหนา 
มีพระสิงหนาทตวาดมา                           อ้ายบ้าเย่อหยิ่งอ้ายลิงโลน
ตกว่ากูหาเป็นเจ้าชีวิตไม่                         มึงถือใจว่าเป็นเจ้าที่โรงโขน
เป็นไม่มีอาชญาสิทธิ์คิดถึงโดน                 เที่ยวทำโจรใจคะนองจองหองครัน
ถอดความได้ว่า
พระพันวษาได้ฟังขุนช้างทูลก็ทรงกริ้ว ตวาดเสียงดังลั่น ว่าถ้าพระองค์ไม่เป็นกษัตริย์ ขุนช้างก็คงมองไม่เห็นหัว จะต้องเฆี่ยนเสียด้วยหวาย

               ------------------------------------------------------------------


เลี้ยงมึงไม่ได้อ้ายใจร้าย                              ชอบแต่เฆี่ยนสองหวายตลอดสัน
แล้วกลับความถามข้างวันทองพลัน                เออเมื่อมันฉุดคร่าพามึงไป
ก็ช้านานประมาณได้สิบแปดปี                       ครั้งนี้ทำไมมึงจึงมาได้
นี่มึงหนีมันมาหรือว่าไร                                หรือว่าใครไปรับเอามึงมา
วันทองฟังถามให้คร้ามครั่น                           บังคมคัลประนมก้มเกศา
ขอเดชะพระองค์ทรงศักดา                            พระอาญาเป็นพ้นล้นเกล้าไป
ถอดความได้ว่า
            พระพันวษาก็ตรัสถามนางวันทองว่า เมื่อขุนช้างฉุดไปเป็นเวลาประมาณ 18 ปีทำไมถึงหนีมาได้ หนีมาเองหรือว่าใครไปรับมา นางวันทองได้ฟังคำถามก็รู้สึกกลัว

                             ------------------------------------------------------------------


ครั้งนี้จมื่นไวยนั้นไปรับ                        กระหม่อมฉันจึงกลับคืนมาได้
มิใช่ย้อนยอกทำนอกใจ                      ขุนแผนก็มิได้ประเวณี
แต่มานั้นเวลาสักสองยาม                    ขุนช้างจึงหาความว่าหลบหนี
ขอพระองค์จงทรงพระปรานี                 ชีวีอยู่ใต้พระบาทา ฯ
ถอดความได้ว่า
นางวันทองกราบทูลสมเด็จพระพันวษาว่าจมื่นไวยไปรับตอนกลางคืน ขุนช้างจึงคิดว่าหนีออกมา ขุนแผนก็ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีไม่งาม นางทูลขอความกรุณาจากสมเด็จพระพันวษา

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
***********
           ถอดคำประพันธ์โดยเด็ก 6/7 นบ. รุ่น81